Friday, March 29, 2024

คำถามถามบ่อย สำหรับมือใหม่บิทคอยน์และบล๊อคเชน

Share

[toc]

ถึงแม้ บิทคอยน์ จะเริ่มเป็นกระแสในบ้านเรามาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีมือใหม่เข้ามาศึกษา สนใจในบิทคอยน์กันเรื่อย ๆ หลายคนก็ยังคงสงสัยในหลากหลายประเด็น ทั้ง บิทคอยน์ บล๊อคเชน เมื่อค้นหาข้อมูลไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่ง งง สับสนกันไปใหญ่ วันนี้เรามารวบรวมคำถามที่ถูกถามกันบ่อย ๆ เพื่อให้เริ่มศึกษากันง่าย ๆ ที่นี่

คำถามทั่วไป

[su_spoiler title=”บิทคอยน์ คืออะไร?” icon=”plus-circle”]

บิทคอยน์ คือ สกุลเงินดิจิตอลอันดับแรกในโลก สร้างโดยบุคคล (หรืออาจจะเป็นกลุ่มคน) นิรนาม ที่ใช้ชื่อว่า “ซาโตชิ” ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีบล๊อคเชน เราสามารถซื้อบิทคอยน์มาครอบครองได้โดยใช้เงินจริง ๆ ในทางกลับกันก็สามารถขายบิทคอยน์ได้ การได้บิทคอยน์มาครอบครองมีทั้ง การขุดบิทคอยน์ หรือ ซื้อบิทคอยน์ ก็ได้ บางประเทศเริ่มประกาศให้ใช้บิทคอยน์แทนเงินจริง หรือเว็บไซต์หลาย ๆ เว็บไซต์ก็รับชำระเงินด้วยบิทคอยน์ได้แล้ว

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ “บิทคอยน์คืออะไร” [/su_spoiler]

[su_spoiler title=”บล็อกเชน คืออะไร?” icon=”plus-circle”]

ในอดีตการจัดเก็บข้อมูลจะอาศัยหลักการจัดเก็บที่เรียกว่า “ฐานข้อมูล” โดยมักจะเป็นการจัดเก็บแบบมีศูนย์กลางอยู่ที่เดียว แต่สำหรับ “บล๊อคเชน” คือ การเก็บข้อมูลแบบเป็นกล่อง (บล๊อค) มาต่อ ๆ กันแบบเป็นห่วงโซ่ (จึงเรียกว่า บล๊อคเชน) โดยในกล่องเหล่านั้นจะมีข้อมูลการโอนบิทคอยน์อยู่ เมื่อข้อมูลเต็มกล่องแล้วกล่องจะปิด และนำข้อมูลสุดท้ายไปต่อกับกล่องใหม่ ซึ่งหากมีการปลอมแปลงข้อมูล กล่องใหม่ก็จะไม่สามารถต่อกับกล่องก่อนหน้าได้ และการเก็บข้อมูลของบล๊อคเชนจะกระจายไปหลาย ๆ ที่ ทุกคนที่ถือข้อมูลเหล่านี้ไว้จะต้องเหมือนกันหมดทุกคน

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ “บล๊อคเชนคืออะไร”[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”บล็อกเชนสามารถโดนโกงหรือโดนแฮ็คได้หรือไม่?” icon=”plus-circle”]

ถึงแม้ว่าบล๊อคเชนออกแบบมาเพื่อป้องกันการแก้ไขข้อมูลแล้ว แต่ถ้าจะให้มองกันแบบตีแสกหน้ากันไปเลย ก็ยังไม่มีระบบไหนที่ปลอดภัยแบบ 100% บล๊อคเชนเองก็สามารถที่จะโดนแฮกได้เหมือนกัน แต่!!! คนที่จะแฮกบล๊อคเชน จะต้องแฮกคอมพิวเตอร์ที่จัดเต็มบล๊อคเชนพร้อมกันทั่วโลก และทำการแก้ไข ดัดแปลง หรือลบข้อมูลที่มีพร้อมกัน ดังนั้นบล๊อคเชนจึงถือว่าเป็นระบบที่มีความปลอดภัยสูงเลยทีเดียว[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”ถ้าปลั๊กไฟหลุด คอมดับ ทุกอย่างจะหายไปรึเปล่า?” icon=”plus-circle”]

การเก็บข้อมูลในระบบบล๊อคเชน อย่างที่บอกไปในข้อแรก ๆ ว่าเป็นการจัดเก็บแบบกระจายไปตามคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ทั่วโลกที่อยู่ในระบบบล๊อคเชน ข้อมูลจะเก็บเหมือนกันทั้งหมด ดังนั้นแล้วหากมีเครื่องใดเครื่องหนึ่งพังลงไป ก็ยังมีเครื่องอื่น ๆ ที่ทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อเครื่องที่ดับลงไปใช้งานได้อีกครั้งก็จะทำการดึงข้อมูลจากเครื่องอื่น ๆ กลับมาเหมือนเดิม[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”เราจะหาเงินจากบิทคอยน์ได้อย่างไร?” icon=”plus-circle”]

เราสามารถหาเงินจากบิทคอยน์ได้หลัก ๆ คือ

  • ซื้อขายบิทคอยน์
  • ขุดบิทคอยน์
  • นำบิทคอยน์ไปลงทุน หรือไปพนัน[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”มีวิธีซื้อบิทคอยน์จากธนาคารในไทยโดยตรงเลยหรือไม่?” icon=”plus-circle”]

ในเมืองไทยจะยังไม่สามารถซื้อบิทคอยน์ผ่านธนาคารได้โดยตรง แต่จะสามารถซื้อผ่านผู้ให้บริการรายใหญ่สองจ้าวคือ

โดยขั้นตอนการซื้อคือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้ให้บริการ หลังจากนั้นจึงจะนำเงินที่โอนเข้าไปแลกเปลี่ยนเป็นบิทคอยน์อีกที[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”ทำไมมูลค่าของบิทคอยน์จึงขึ้น ๆ ลง ๆ?” icon=”plus-circle”]

มูลค่าของบิทคอยน์เพิ่มขึ้นได้เพราะความเชื่อมั่นในผู้ใช้งาน เช่น ทองมีค่าได้เพราะผู้คนเชื่อมั่น และชื่นชอบในการครอบครองทอง ส่วนเงินกระดาษมีมูลค่าได้เพราะมีทองเป็นหลักค้ำประกันมูลค่า หรือคูปองในฟูดคอร์ทมีค่าได้เพราะเราเอาเงินไปแลกออกมา
บิทคอยน์เองก็ไม่ต่าง เพราะมีการออกแบบโดยมีสมการขั้นสูงทางคณิตศาสตร์ที่ยากจะแฮก และการขุดบิทคอยน์เองก็จะยากขึ้นเรื่อย ๆ มีจำนวนจำกัดทั้งสิ้นเพียง 21 ล้านบิทคอยน์ โดยหลักของ Supply และ Demand เอง ที่มีคนต้องการบิทคอยน์เพิ่มมากขึ้น แต่บิทคอยน์กลับผลิตออกมาในระบบน้อยลง ทำให้หายากขึ้น มูลค่าของบิทคอยน์จึงสูงขึ้นไปโดยปริยาย[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”บิทคอยน์คือแชร์ลูกโซ่รึเปล่า เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน” icon=”plus-circle”]

ต้องยอมรับว่าแชร์ลูกโซ่มีเกิดขึ้นมามากมายเหลือเกิน และหลายครั้งมองดูเผิน ๆ โดยไม่เจาะลึกลงในรายละเอียด มันทำให้หลายคนนึกว่าบิทคอยน์คือแชร์ลูกโซ่เช่นกัน แต่สำหรับบิทคอยน์นั้นไม่ใช่แชร์ลูกโซ่และไม่มีการหลอกลวงแน่นอน เราสามารถหาข้อมูลที่มาของบิทคอยน์ได้ง่ายมาก มีการพูดคุยกันในวงกว้างเกี่ยวกับบิทคอยน์ มีการใช้งานจริงจากหลายประเทศ ถึงแม้ว่ามีหลายประเทศที่พยายามจะออกกฎหมายเพื่อควบคุมการใช้งาน แต่ด้วยระบบของบิทคอยน์ที่ออกแบบมาเพื่อไม่ต้องการให้ใครเป็นเจ้าของ จึงไม่มีใครที่สามารถดำเนินการควบคุมได้เลย[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”บิทคอยน์จะปิดตัวลงหรือไม่?” icon=”plus-circle”]

บิทคอยน์จะไม่ปิดตัวลง เพราะในอนาคตผู้เขียนคิดว่าบิทคอยน์อาจจะมามีบทบาททางการเงินมากมาย ต่อไปเราอาจจะเห็นการซื้อสินค้าด้วยบิทคอยน์เป็นเรื่องปกติ[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”บิทคอยน์มีทั้งหมดเท่าไหร่?” icon=”plus-circle”]

จำนวนบิทคอยน์สามารถผลิตออกมาทั้งหมด 21 ล้านเหรียญ

[su_spoiler title=”ทั้งโลก มี node ของบล็อกเชนบิทคอยน์ทั้งหมดเท่าไร?” icon=”plus-circle”]

ดูได้ที่ https://bitnodes.21.co [/su_spoiler]

[su_spoiler title=”บิทคอยน์ถูกเก็บไว้ที่ไหน?” icon=”plus-circle”]

บิทคอยน์จะถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินดิจิตอล ที่ออกแบบมาเพื่อจัดเก็บโดยเฉพาะ ไม่ต่างจากบัญชีธนาคารที่จะมีหมายเลขที่เฉพาะไม่ซ้ำกัน โดยการทำงานกระเป๋าบิทคอยน์จะมี Private Key ของแต่ละกระเป๋า เพื่อเข้ารหัสและรักษาความปลอดภัย แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้ครับว่าจะต้องเอาออกมายังงัย เราแค่มีหมายเลขกระเป๋าเพื่อรับและส่งเงิน ก็พอแล้วที่เหลือระบบบิทคอยน์และบล๊อคเชนจะดำเนินการให้เราเองทั้งหมด[/su_spoiler]

คำถามสายขุด

[su_spoiler title=”การขุดบิทคอยน์คืออะไร อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างการขุดกับบิทคอยน์?” icon=”plus-circle”]

การขุดบิทคอยน์ คือ การยืนยันการทำธุรกรรมของบิทคอยน์ โดยการเข้าไปแก้ไขสมการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เมื่อใครที่ยืนยันการทำธุรกรรมได้ก็จะได้รับบิทคอยน์เป็นการตอบแทน เปรียบได้กับการโอนเงินไปหาใครสักคนแล้วเราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ธนาคาร แต่ในกรณีของการโอนบิทคอยน์ค่าธรรมเนียมจะแจกจ่ายให้ผู้ที่เข้ามาทำการขุดบิทคอยน์แทน

ในยุคที่บิทคอยน์เพิ่งเกิดแรก ๆ นั้นสามารถใช้เครื่องที่มีการ์ดจอดี ๆ มาทำการขุดบิทคอยน์ได้ แต่ในปัจจุบันเมื่อความต้องการของบิทคอยน์เพิ่มมากขึ้น การแก้สมการคณิตศาสตร์ของบิทคอยน์ก็ยากขึ้นเป็นเงาตามตัว จึงมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบและผลิตออกมาเพื่อการขุดบิทคอยน์โดยเฉพาะเรียกว่า ASIC

ดูเพิ่มเติม

[su_spoiler title=”ถ้าไม่มี Server กลางแล้วระบบที่สร้างบล๊อคมาจากไหน?” icon=”plus-circle”]

บล๊อคที่เกิดขึ้นในระบบบล๊อคเชนนั้นเกิดจากนักขุดบิทคอยน์นี่เองแหละครับ อย่างที่บอกไปว่าในโลกนี้จะมี Node ที่มีข้อมูลบล๊อคเชนทั้งหมด หนึ่งในจำนวนนั้นก็เป็นเครื่องขุดบิทคอยน์จากนักขุดนั่นเอง เราจึงสามารถพูดได้เต็มปากเหมือนกันว่า หากวันนึงไม่มีใครขุดบิทคอยน์แล้วระบบบิทคอยน์อาจจะล่มก็ได้[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”การขุดเหรียญสามารถขุดได้เฉพาะบิทคอยน์รึเปล่า?” icon=”plus-circle”]

มีเหรียญคริปโตมากมายในตลาดที่สามารถขุดได้โดยการใช้คอมพิวเตอร์ ทั้ง CPU หรือ การ์ดจอ บางเหรียญที่เกิดออกมาหลัง ๆ ก็มีที่ใช้ความจุของ Hard Disk ในการขุดก็มี หรือบางเหรียญก็ใช้วิธีถือครองเหรียญเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์ส่วนตัว และเปิดเครื่องเอาไว้ก็จะได้ดอกเบี้ยกลับมาเป็นการตอบแทน (Proof of Stake)

ดูเพิ่มเติม

[su_spoiler title=”อัลกอริธึ่ม หรือ algorithm คืออะไร?” icon=”plus-circle”]

อัลกอริธึ่มเป็นชื่อเรียก สมการ ในการถอดรหัสของเหรียญคริปโตแต่ละประเภท ซึ่งการทำงานของแต่ละอัลกอริธึ่มจะแตกต่างกัน เช่น sha-256, scrypt, dagger เป็นต้น[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”การขุดบิทคอยน์คุ้มหรือไม่?” icon=”plus-circle”]

ตัวแปรหลัก ๆ ในการลงทุนซื้อเครื่องขุดบิทคอยน์ จะประกอบด้วยค่าไฟ ข้อเสียของเครื่องขุดบิทคอยน์คือการกินไฟที่เยอะมาก และมลภาวะทางเสียงก็เช่นกัน บิทคอยน์ยังคงเป็นที่นิยมในการขุดเพราะราคาของเหรียญบิทคอยน์ที่สูงมาก การลงทุนขุดบิทคอยน์ใช้เวลาคืนทุนเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น

สามารถประเมินรายรับจากการขุดบิทคอยน์ได้ที่นี่ https://www.cryptocompare.com/mining/calculator/btc

ปัจจุบันมีผู้ให้บริการในการขุดบิทคอยน์ประเภท Cloud Mining จำนวนมาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สนใจที่ยังไม่มีความรู้ในการขุด ไม่ต้องการลงทุนจำนวนมาก

ดูเพิ่มเติม

[su_spoiler title=”จะเริ่มขุดบิทคอยน์ได้ยังงัย?” icon=”plus-circle”]

อ่านเพิ่มเติมได้จากบทความนี้ : การขุดบิทคอยน์คืออะไร[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”มีงบไม่เยอะอยากขุดบิทคอยน์ทำได้รึเปล่า?” icon=”plus-circle”]

มีงบไม่เยอะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ที่ต้องการขุดบิทคอยน์ครับ ทุกวันนี้มีผู้ให้บริการขุดบิทคอยน์แบบ Cloud Mining จำนวนมาก ลองศึกษาได้จากลิงค์ด้านล่างนี้

[su_spoiler title=”ค่าดิฟคืออะไร?” icon=”plus-circle”]

ค่าดิฟ หรือ Difficulty คือค่าความยากในการขุด บิทคอยน์จะออกแบบไว้ว่าจะขุดหนึ่งบล็อกต้องยากระดับนี้ ใช้เวลาอย่างต่ำเท่าไร เพื่อไม่ให้การขุดมันง่ายเกิน และจะทำให้บิทคอยน์ถึงโควต้า 21 ล้านไวเกินไป โดยระดับความยากจะปรับตัวเองเรื่อย ๆ ตามจำนวนคนขุด

อ่านเพิ่มเติม : สายขุดต้องรู้ค่าดิฟคืออะไร[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”ขุดแบบ Cloud Mining คืออะไร ปลอดภัยรึเปล่า?” icon=”plus-circle”]การขุดแบบ Cloud Mining คือมีผู้ให้บริการลงทุนสถานที และเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับขุดบิทคอยน์ แล้วนำกำลังขุดที่มีมาแบ่งขาย โดยรับส่วนแบ่งเป็นค่าดำเนินการจากผู้ซื้อที่ซื้อแรงขุด ข้อดีคือเราไม่จำเป็นต้องลงทุนเงินจำนวนมากเพื่อซื้อเครื่องขุด ไม่ต้องพะวงเกี่ยวกับค่าไฟ และความร้อนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังไม่ต้องรำคาญกับมลภาวะทางเสียง แต่ข้อเสียก็คืออาจจะโดนโกงได้เหมือนกัน เพราะบางจ้าวเปิดมาเพื่อหลอกเอาเงิน สามารถเลือก Cloud Mining ที่ไว้ใจได้ โดยอ่านเพิ่มเติมจากลิงค์ด้านล่างนี้ครับ

[su_spoiler title=”ขุดด้วย GPU กับ ASIC อันไหนดีกว่า คุ้มกว่า?” icon=”plus-circle”]

คงตอบไม่ได้ว่าขุดแบบไหนดีกว่า เนื่องจากอัลกอริทึมในการขุดของ GPU และ ASIC นั้นคนละแบบ สามารถขุดได้คนละเหรียญกัน ความคุ้มค่าในการขุดจะขึ้นอยู่กับราคาของเหรียญที่เราทำการขุดด้วย แต่ที่เห็นได้ชัดในแง่ของข้อเสียของ ASIC คือ เมื่อทำการขุดไม่ได้แล้วจะไม่สามารถนำเครื่อง ASIC ไปใช้งานอย่างอื่นได้เลย[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”เริ่มขุดตอนนี้ ทันไหม คุ้มไหม?” icon=”plus-circle”]

ไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นใหม่ครับ หากไม่ต้องการลงทุนเยอะก็ซื้อแรงขุดจาก Cloud Mining แต่ะถ้ามีความรู้และเงินทุนที่มากหน่อย ไม่กลัวค่าไฟที่จะเป็นเงาตามตัว และมลภาวะทางเสียงก็ลองซื้อริกสำหรับการขุด หรือจะเป็นเครื่อง ASIC สักเครื่องก็ได้ แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงให้ได้นะครับ[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”สายขุด จะยังขุดต่อไปได้อีกกี่ปี?” icon=”plus-circle”]

เอาแบบเอาขวานจามหัวเลย ก็บอกว่าขุดได้ไปจนวันตายล่ะครับ เพราะถึงแม้ในแต่ละวันกำลังในการขุดจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่จำนวนของบิทคอยน์ก็ขุดยากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะมีค่าดิฟมาควบคุม ดังนั้นแล้วไม่ต้องห่วงครับ เราสามารถหา Passive Income จากการขุดบิทคอยน์และเหรียญชนิดอื่น ๆ ได้อีกยาวนาน[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”ETH กำลังจะเปลี่ยนเป็น Proof of Stake จะมีผลต่อสายขุดอย่างไรบ้าง ?” icon=”plus-circle”]

การเปลี่ยนจากการจ่ายปันผลจาก Proof of work มาเป็น Proof of Stake จะทำให้ไม่สามารถขุดได้อีกต่อไปแต่เราสามารถนำเครื่องที่ขุด ETH ไปขุดเหรียญชนิดอื่น ๆ ที่มีอัลกอริทึมประเภทเดียวกันได้ เช่น Ubiq, Expanse เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม : ถ้า Ethereum เปลี่ยนเป็น Proof of stake แล้วจะมีผลกระทบต่อนักขุดอย่างไร[/su_spoiler]

[su_spoiler title=”Proof of Stake และ Proof of Work คืออะไร?” icon=”plus-circle”]

ในตอนนี้ Bitcoin ใช้สิ่งที่เรียกว่า Proof of Work แปลตรงตัวคือ พิสูจน์ด้วยการทำงาน ซึ่งก็คือกำลังการทำงานของ CPU หรือ GPU ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็คือการสร้างโจทย์ในการไขรหัสยาก ๆ ให้เหล่านักขุดใช้เวลาขุดที่พอเหมาะ การโอนเงินด้วย Bitcoin จึงเกิดขึ้นที่ต้องทำให้มันยาก เพราะว่า การปลอมแปลงจะได้เกิดขึ้นยาก และสิ้นเปลืองเกินไป ความยากจะถูกปรับขึ้นเรื่อยๆด้วยหลากหลายปัจจัย เช่น ปริมาณการโอน หรือ ความแรงของคอมพิวเตอร์ที่มาขุด ณ เวลานั้น

มีคนเคยยกประเด็นมาว่า สมมติมันมี node นึง ที่คุมกำลังขุดไว้กว่า 51% เจ้า node นี้ก็จะเป็นใหญ่ เป็นมาเฟียใน blockchain สามารถแก้ไขข้อมูลได้ เพราะกำลังการคำนวณเขาเยอะนี่เป็นหนึ่งในหลายเหตุผลว่าทำไม Proof of Work อาจจะไม่เวิร์ค เลยมีคนเสนอ Proof of Stake มา แปลตรงตัวอีก มันคือ พิสูจน์ด้วย stake ที่แปลว่า เดิมพัน นั่นก็คือ แทนที่จะวัดกันด้วย work หรือกำลังงาน เราวัดกันด้วย stake คือคุณมี Bitcoin เท่าไร คุณมีเยอะก็จะได้ผลตอบแทนจากการขุดเยอะ มันจะไม่เหมือนเดิมที่ อยากโอนต้องให้คนโอนจ่ายค่าขุดแพง ๆ การโอนจะได้เกิดขึ้นเร็ว ๆ Proof of Stake ก็จะเข้ามาแก้ไขด้านนี้ และยังประหยัดไฟด้วย ไม่ต้องหาเครื่องขุดแรง ๆ หา Bitcoin เยอะ ๆ พอ และถ้าคุณจะครองระบบ 51% แปลว่าคุณก็ต้องมี Bitcoin 51% ด้วย[/su_spoiler]

กาเหว่า
กาเหว่าhttp://konderntang.com
มีความชอบและหลงไหลในเทคโนโลยีทางด้านไอที การลงทุน และเงินคริปโต .. นอกจากนี้แล้วมักใช้เวลาว่างไปกับการท่องเที่ยว ถ่ายรูป ไปค่ายอาสา ..

Read more

Local News