Friday, April 19, 2024

ประสบการณ์ 6 ปีที่เมลเบิร์น

Share

Non bias review ประสบการณ์ 6+ ปี Super Insight #ทีมออสเตรเลีย Melbourne

Background เบื้องต้น (ผมว่าสำคัญนะ มันไว้บอกว่า circumstance ของผมเป็นยังไง เผื่อเอาไปเปรียบเทียบ)

  • เกิดต่างจังหวัด
  • พ่อแม่เป็นมนุษย์เงินเดือน (ฐานะปานกลางไปทางดี อารมณ์แบบคนพื้นที่เก่าแก่ต่างจังหวัด ไม่รวยเงินแต่รวยอสังฯ รวยของเก่าเก็บ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ของบรรพบุรุษ) ตอนนี้ใกล้เกษียณกันทั้งคู่
  • เรียนโรงเรียนต่างจังหวัดจนจบ ม.6 (ช่วงเรียนมัธยมมีโอกาสไปต่างประเทศบ้าง)
  • สอบได้ทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนไป เมกาฯ ตอน ม.4 ไปปีนึงกลับมาเรียนที่เดิม
  • มาเรียนมหาลัยที่กรุงเทพฯ เรียนวิศวะฯ
  • มาต่อคอร์สมหาลัยเมืองนอก Transfer มาตอนปี 3 (กู้เงินมาเรียน ขายที่ ขายของ พ่อแม่เป็นหนี้)
  • เดินทางต่างประเทศมาหลายที่พอสมควร รวมๆประมาณ 10-15 ประเทศ เกือบทุกทวีป
  • ภาษาอังกฤษใช้คำว่าพอตัว เพราะฝึกเยอะ ไม่ใช่แค่เอาไปสอบแต่ใช้จริง พูดจริง ได้จากที่ทำงาน (ฟัง Eng สำเนียง African, India, Chinese ออก ielts academics ผมอยู่ราวๆ 7.5-8.5 overall แล้วแต่ครั้ง)
  • ปัจจุบันเรียน ป เอก เป็นอาจารย์ฝึกสอน/นักวิจัยฝึกหัด ทำงาน part time เป็นเชฟ ร้านไทย ร้านฝรั่ง เรื่อยเปื่อย ตามโอกาส ตามสถานการณ์

***ไม่เคยคิดอยากอยู่ไทย ไม่ใช่เพราะเกลียดเมืองไทย แต่รู้สึกว่าอะไรหลาย ๆ อย่างทำให้ผมคิดว่าผมไม่เหมาะกับการอยู่ในสังคมไทย เลยตัดสินใจหาทางมาต่างประเทศถาวร เป็นความฝันตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว***

จากประสบการณ์ทั้งหมดที่เคยเดินทางมา ส่วนตัวผมว่าออสเตรเลียเป็นประเทศที่น่าย้ายมาอยู่มากที่สุดประเทศนึงในมุมมองของหลายๆอย่าง เรื่องพวกนี้ผมว่ามันสำคัญสำหรับคนที่มาอยู่เมืองนอกคนเดียว อารมณ์แบบความหวังครอบครัว ความหวังพ่อแม่ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน

***โปรดเสพ review นี้โดยสุภาพ ขอบคุณครับ***

สิ่งที่ออสเตรเลียได้เปรียบประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอื่น ๆ คือ

ข้อดี

1. ใกล้บ้าน:

ตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันสำคัญนะ แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้ามีอะไรเร่งด่วน อยู่ออสเตรเลียสามารถกลับไทยได้ง่ายมาก (ไม่นับตอน covid นะ) มีเที่ยวบินมาจากเอเชียเยอะมาก นั่งเครื่องบินก็ไม่ได้นานขนาดนั้น ทั้ง jetstar และการบินไทย (ไม่นานแบบไปฝั่ง north America หรือว่า Europe) สมมุติถ้าเกิดอะไรขึ้นที่ไทย คุณสามารถที่จะไปโผล่ไทยได้ภายในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมงถ้าคุณอยู่ในย่านชุมชน

แต่มันก็มีข้อเสียเหมือนกันนะ ด้วยเหตุที่มันใกล้ Asia มาก ทำให้คนเอเชียเยอะไปหมด เอาว่าถ้ามาเดิน Sydney หรือว่า Melbourne ก็ไม่ต่างอะไรกับเดิน เมืองการค้าใหญ่ ๆ อื่น ๆ ของ Asia จะเรียกว่า Singapore สาขาสองก็ไม่ผิด แต่ด้วยความที่มันมี Asia เยอะนี่แหละ มันทำให้การ start up ชีวิตมันง่าย เพราะมีตัวอย่างให้ดูเยอะ จะส่งอะไรมาก็ง่าย ส่งกลับก็ง่าย ถ้าเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่ผมเคยอยู่มา

2. มาง่าย/ต่อวีซ่าง่าย:

ตั้งแต่ช่วง 2010 เป็นต้นมา ออสเตรเลียเริ่มเป็นที่สนใจของ ASEAN อย่างมาก หลาย ๆ คนช่วงนั้นเริ่มจากมาเรียนภาษา มา work holiday แล้วก็ติดใจ ขออยู่ต่อกัน พอมาช่วง 2020 ผมรู้สึกเลยว่าคนไทยเยอะกว่าเดิมขึ้นเยอะมากๆๆ ในโซน cbd และโซนท่องเที่ยว บวกกับนโยบายภาครัฐที่เปิดให้มีเด็กต่างชาติเข้ามาอีก มาง่ายไปใหญ่เลย แถมมีโอกาสได้อยู่ยาว ๆ ง่ายเช่นกัน

ถ้าอยากมาลองดูว่าชอบมั้ย ลงเรียนภาษาผ่านเอเจ้น เดินเรื่องไม่ถึงเดือนผมก็ว่าเสร็จนะ ถ้าทุกอย่างพร้อม ไม่มีติดขัดอะไร รัฐเค้าสนับสนุนการมาเรียนอย่างมาก

3. หรูหราหมาเห่า/ชีวิตอู้ฟู่ ที่เป็นไปได้:

ประเทศออสเตรเลียมีอัตราค่าแรงขั้นต่ำสูงมากที่สุดในโลกประเทศนึงเลย บวกกับเป็นศูนย์กลางของโลก capitalism ยุคใหม่ ไม่แปลกที่จะเห็นคนชั้นแรงงานถอยรถหรูมาขับกัน มีอะไรออกใหม่ก็ได้ก่อน playstation 5, iphone ก็วางขายก่อน ก่อนหน้าหลายๆประเทศ มี cafe ให้นั่งไม่ซ้ำ มี club ให้ไปทุกวันหยุด มี event ระดับโลกมากมาย ทั้ง Australian Open, Grand Prix, concert ศิลปินระดับโลกก็มาทุกปี ทุกอย่างสามารถ enjoy ได้ด้วยการทำงานแบบคนธรรมดา

เอาจริง ๆ นะ ถ้าคุณขยัน มานะ อดทน คุณสามารถที่จะถอย Muscle car มาขับทั้งๆที่คุณทำงานเป็นแม่บ้าน cleaner เป็นคนเก็บขยะ เป็นคนทำสวน (เคยเห็นจริงๆนะ เป็นคนเก็บขยะตอนกลางคืนกลางวันขับ M5cs/ E63/ F type)ในขณะที่เมืองไทยหมอยังต้องผ่อน civic/accord กันอยู่เลย ผมทำงานมา 5 ปีก็ซื้อ brand name เก็บได้เป็นตู้เหมือนกัน ไม่ต้องเป็นเศรษฐีก็ใส่ gucci ได้ มันเอื้อมถึง

ขอบคุณความสูงลิบลิ่วของค่าแรงขั้นต่ำ ส่วนใครที่อยากเก็บเงิน ผมพูดตรง ๆ ออสเตรเลียอ่ะ งานเยอะมาก ถ้าไม่เลือกงาน ภาษาได้ระดับนึง ไม่กลัวการเจอคนแปลกหน้า งาน service นี่อย่างกะเหมืองทองเลย อยากได้เท่าไหร่ก็ทำไป ถ้าคุณมาอยู่ออส การทำงาน 10+ ชั่วโมงไม่ใช่เรื่องแปลก เค้าไม่ได้มาทำงาน เค้ามาขุดทองกัน ขุดเท่าไหร่ได้เท่านั้น มีแรงทำมั้ยหล่ะ เค้ามีเงินจ้างอยู่แล้ว

4. Pathway ที่ทำที่ไทยยาก:

ผมไม่ได้ stereotype นะ แต่ผมอยากจะบอกว่า คนออสอ่ะ ไม่ค่อยเรียนหนังสือสูง ไม่เรียนในที่นี้คือเค้าไม่ได้เรียนสูง เหมือนบ้านเราที่ทุกคนจบ ป ตรี กันหมด เพราะเค้าไม่ต้องดิ้นรนไง คุณสามารถ enjoy ชีวิตได้ด้วยการจบ ปวช ปวส แล้วออกมาหางานทำ คุณจบ high school อายุ 17-18 เรียน diploma อีกสองปี ก็มาทำงาน enjoy งาน $30+ ต่อชั่วโมงได้แล้ว จะไปเรียน ป ตรีให้เหนื่อยทำไม กว่าเราจะเรียน ป ตรี อายุก็เสียไป แถมยังต้องลงทุนกับค่าเรียนอีก กว่าจะ break even ก็อายุ 30++ ไปแล้ว สู้ออกมาใช้ชีวิตเลยดีกว่า

เรื่องพวกนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ในไทย ด้วยค่าแรงขั้นต่ำที่น้อยนิด แต่ถ้าคุณจบ ป ตรี เงินคุณจะพุ่งขึ้นไปอีก มันสูงจริง ๆ นะ เอาว่าถ้าจบหมอ คุณสามารถทำเงิน $500,000+ ต่อปีได้สบายๆ มันอยู่ที่ว่า คุณจะ set goal ไว้ตรงไหน ไม่ต้องได้มากมายขนาดนั้นก็ได้ แต่แค่จะบอกว่า มันเป็นไปได้ ง่ายกว่าไทยเยอะ โอกาสตกมาถึงคนเอเชีย ที่อาศัยลูกอึด ทำให้คนเอเชียเป็นที่ชื่นชอบของฝรั่ง เพราะฆ่าไม่ตาย ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่บ่น ไม่พูดเยอะ

ข้อเสีย

1. เรื่องของ individualism/ self independent:

ในประเทศที่พัฒนาแล้วนั้น คน ๆ นึงสามารถทำอะไรได้หลายอย่างมาก มากกว่าที่คุณคิดเยอะ คำถามคือ คุณรู้รึเปล่าว่าคน ๆ นึงทำอะไรได้บ้าง มันเยอะจนกระทั่งทำให้หลาย ๆ คนเกิดอาการ decision Fatique คือแบบ เบื่อที่จะต้องรับผิดชอบ เบื่อที่จะต้องเดินเอกสาร เบื่อที่จะศึกษาข้อมูล ล้วงดู terms and conditions ทั้งหลาย จนกระทั่งจบด้วยการ “จ้าง” ให้คนอื่นทำ ผมเข้าใจว่าหลาย ๆ คนจะบอกว่าเราไม่มีความรู้เรื่องนู่นนี่

ตัวอย่างง่าย ๆ เลยคือเรื่องการทำ visa โดยปกติแล้วเราสามารถทำได้ด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด แต่เรากลัวว่าเราไม่รู้ เรากลัวว่าเราทำผิด กลายเป็นว่าก็ไปจ้างคนอื่นเค้าทำ ครั้งแรกไม่เป็นไร ครั้งต่อไปก็ทำอีก ทำอีก ทำไปเรื่อย ๆ อย่าลืมว่าอะไรก็ตามที่ใช้คนอ่ะ มันคือ services นะ เราต้องจ่ายเงิน คำว่าค่าแรงขั้นต่ำมันจะกลับมาแว้งกัดเราตอนนี้เนี่ยแหละ ตอนที่เราต้องเป็นคนใช้บริการบ้าง บางทีไปซ่อมรถ ค่าอะไหล่ $50 แต่ค่าแรง $200 ถ้าเราดูหนังฝรั่งบ่อย ๆ

เราจะเห็นว่าฝรั่งจะทำเองเกือบทุกอย่าง ทาสี ซ่อมรถ เดินไฟ ซ่อมท่อน้ำ บลา ๆ เพราะค่าแรงมันแพงงงงงงงงงงงงงงงงงงง มันจะเปลี่ยนทำให้เราต้องกลายเป็นคนรอบรู้ และต้องขยันที่จะแก้ไขปัญหา ยิ่งรู้เยอะยิ่งประหยัดมาก ตอนผมมาใหม่ๆ จ้างอย่างเดียว สรุปเงินหมดเพราะจ้างนี่แหละ จนต้องฝึกทำเอง ทำให้มากที่สุด มันจะทำให้เราแกร่งไปเอง หรือว่าคุณจะกลายเป็นคนที่เหนื่อยกับการใช้ชีวิตไปเลย

2. สังคมในอุดมคติ:

ในออสเตรเลียดูเหมือนทุกคนจะเป็นคนรวย แต่มันมีนะ พวกที่รวยจริง แบบ ของจริง ลูกหลานไฮโซระดับโลก ก็มี ใช้ชีวิตแบบยิ่งกว่ารวย รวยแบบใช้ปืน supreme ยิงเงินจริงได้เลย รวยแบบน่ากลัว จนทำให้คุณรู้สึกว่า ไม่ได้ดิ เรามาอยู่ที่นี่ ทุกคนเท่ากัน ทำไมเราจะทำไม่ได้ สุดท้าย ชีวิตคุณหมดเงินไปกับการตาม reference จาก influencer ที่ชื่นชอบ หมดไปกับ brand name ที่ออกใหม่ทุก season จนคุณไม่เหลืออะไรนอกจากวัตถุ คุณกำลังถูกโลก capitalism กลืนกินไปทีละน้อย มันอยู่ที่ว่าใครถลำลึกไปมากกว่ากัน และใครที่รู้ตัวก่อนกัน

ออสเตรเลียอ่ะ คนเค้ารวยระดับโลกนะ ไม่ใช่รวยปลอม ชีวิต high life ที่เราพยายามวิ่งตาม จนเกินตัว มันทำให้เราไม่หยุดทำงาน เหนื่อย ผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นมา กว่าจะได้สติก็เสียเงินเสียเวลาไปเยอะ พอคุณออกมาได้แล้วมองกลับไป แม่งรัฐบาลเค้าฉลาดนะ พาคนหนุ่มสาว วัยกำลังเรียน กำลังทำงาน ให้มาอยู่ในสังคมที่หรูหราอย่างกับจินตนาการ ความวู่วามทำให้เราจับจ่ายแบบไม่คิดตริตรองให้ดี สุดท้ายคนที่ได้มากที่สุดคือ รัฐ เพราะเค้าเก็บภาษี ทุก transaction ทุกรายรับรายจ่าย แบบว่า big brain สุด ๆ ไปเลย หากินกับเด็กและเยาวชนภายใต้คราบของการขายการศึกษา

3. สังคมที่ไม่เคยแก่:

ถ้าคุณมาออส คุณจะเห็นว่าคนส่วนใหญ่อายุราว ๆ 20-35 ทั้งนั้นเลย ซึ่งจริง ๆ มันไม่แปลกหรอกนะ เค้าเลือกมาแล้ว คนอายุนี้กำลังอยู่ในวัยคึกคะนอง วัยที่กำลังล่อซื้อได้ง่าย อุปทานหมู่ ตามกระแส เป็นผู้ใหญ่พอที่จะ spend เงิน แต่เด็กเกินกว่าที่จะ manage เงินได้ คนเหล่านี้พออายุเกินก็จะเริ่มขอ visa ยาก เริ่มมีข้อกำหนดเยอะ จนสุดท้ายก็ต้องกลับประเทศเพราะว่าทนอยู่ไม่ไหว ไม่ใช่เพราะหาเงินไม่ได้อย่างเดียว แต่ว่าคนใหม่ที่มา หนุ่มกว่า สาวกว่า สวยกว่า เค้ามาแทนที่คนรุ่นเก่าที่ไม่มีคุณภาพ

คนรุ่นเก่าที่เหลืออยู่ในออส (10+ ปี ส่วนใหญ่ก็จะเก๋าเกม กร้านโลกกันหมดแล้ว ไม่เป็นเจ้าของธุรกิจ ก็มีงาน full time เป็น citizen กันไปหมดแล้ว) ก็กลายเป็นพลเมืองคุณภาพ สร้างรายได้ให้รัฐมหาศาล คนพวกนี้มีภูมิคุ้มกันดี เพราะผ่านโลกมาเยอะ พูดภาษาได้เอาตัวรอดได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะหลีกเลี่ยงการมาใช้ชีวิตกับนักเรียน คนที่ยังไม่รู้อะไรเลย เพราะเค้ารู้ว่า นั่นไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง มันคือสิ่งที่ออสเตรเลียเค้าสร้างมาเพื่อคัดกรองคน นอกจากด้านการศึกษาที่มี entry requirement แล้ว ด้านสังคมเค้าก็ออกแบบวิธีการคัดคนมาแล้ว คนที่ถูกเลือกจากกลุ่มคนพวกนี้เท่านั้นที่จะได้ไปต่อ


ส่วนตัวผมว่าเรื่องพวกนี้มันควรรู้นะ ก่อนเดินทางไปอยู่ต่างประเทศ เราไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติ ไม่มีใครคอยให้คำปรึกษา การเตรียมพร้อมที่ดีที่สุดอีกอย่างนอกจากเรื่องความรู้ คือความมีสติ แน่วแน่กับความฝันของตัวเอง เรื่องของการขอ visa PR และเรื่องการทำ citizen มีคน post มากมายอยู่แล้ว แต่ผมมองว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นด่านแรกที่เราจะเจอทันทีก่อนที่คุณจะคุยกันเรื่อง PR ด้วยซ้ำ คือการ westernise ตัวเอง ทั้งร่างกายและจิดใจ เพื่อทำให้เรามีภูมิคุ้มกันที่ดี สร้าง soft skills ที่เป็นประโยชน์ต่อการอยู่รอดในต่างแดน สุดท้าย awareness ที่ดีจะทำให้คุณไปถึง PR ได้ง่าย

ขอให้ทุกคนโชคดี ได้ย้ายไปทุกที่อย่างที่ใจหวัง ผมแค่มาแนะนำทุกคนในฐานะคนมาก่อน จะได้ไม่เสียเวลา


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

กาเหว่า
กาเหว่าhttp://konderntang.com
มีความชอบและหลงไหลในเทคโนโลยีทางด้านไอที การลงทุน และเงินคริปโต .. นอกจากนี้แล้วมักใช้เวลาว่างไปกับการท่องเที่ยว ถ่ายรูป ไปค่ายอาสา ..

Read more

Local News