Friday, March 29, 2024

วิธีมาออสด้วยตัวเองโดยใช้เงินน้อยที่สุด และใช้ภาษาอังกฤษแค่ IELTS 4.5 (ประสบการณ์จริง)

Share

วิธีมาออสด้วยตัวเองโดยใช้เงินน้อยที่สุด และใช้ภาษาอังกฤษแค่ IELTS 4.5 (ประสบการณ์จริง)

.

#ทีมออสเตรเลีย

.

[su_note note_color=”#dd2510″ text_color=”#ffffff”]โพสต์นี้ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ตรง สำหรับน้อง ๆ ที่อายุระหว่าง 18-30 ปี และต้องการมาอยู่ประเทศออสเตรเลียแบบถาวร แต่ไม่ได้มีต้นทุนทางการเงิน[/su_note]

.

การเตรียมตัวและวีซ่า

ณ ตอนโน่นเมื่อปี 2012 หรือ แม้กระทั่งปัจจุบัน มีวีซ่าตัวนึงที่ชื่อว่า Work and Holiday Visa (Subclass 462) ที่ให้คนที่อายุไม่เกิน 18 ถึง 30 ปี มีสิทธิ์ในการยื่นขอวีซ่าตัวนี้ เพราะสามารถมาทำงาน เรียน เที่ยว อะไรก็ได้ 1 ปีเติม โดยมีเงื่อนไขว่าถ้ามาทำงาน จะทำงานกับบริษัทใดๆ ได้ไม่เกิน 6 เดือนเท่านั้น นั่นหมายความว่า คุณจะมีเวลาเติมที่ไม่เกิน 3 เดือนหลังจากที่คุณมาถึงที่นี่ในการหางานที่เป็น Contract 3-6 เดือนให้ได้ และต้องเป็นบริษัทที่พร้อมที่จะ Sponsor คุณเป็น Working Visa (Subclass 186) ในอนาคตด้วย และหลังจากที่คุณได้ Working Visa มาครอบครองและนั่นคือด่านที่ยากที่สุดของชีวิต หลังจากนั้นสองถึงสี่ปีหลังจากนั้น คุณก็จะสามารถสมัคร Permanent Resident (PR) และต่อด้วย Citizenship ได้จนถึงที่สุด
.
Note : แนะนำให้ Google รายละเอียดของวีซ่าสองตัวนี้ให้เข้าใจอย่างละเอียดนะครับ ระหว่าง Subclass 186 และ 462 ไม่ขออธิบายในนี้ เพราะข้อมูลมีเยอะมาก
.

วิธีการเตรียมตัวก่อนสมัครวีซ่าและมาออสเตรเลีย (สำคัญมาก) ผมขอแบ่งออกเป็นสองประเภทนะครับ คือ

.

1) ด้านการทำงานและสายอาชีพ

แนะนำว่าให้ทำงานหาประสบการณ์ก่อนสมัคร Work and Holiday Visa อย่างน้อย 5-7 ปี ไม่จำเป็นว่าต้องทำงานสายไอที ทำงานและหาประสบการณ์สายไหนก็ได้ที่ทางประเทศออสเตรเลียเค้าต้องการคน (Skilled Occupation List) google คำนี้ก็จะเจอ List งานที่ทางออสเค้าต้องการนะครับ และถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้ทำงาน กับบริษัทต่างชาติ และดูว่าบริษัทนั้นๆ มีสาขาที่ประเทศออสเตรเลียหรือไม่ นี่เป็นอีกช่องทางในการหางานตอนมาออส เพราะคนที่นี่จะรู้จักบริษัทนั้นๆ เพราะมีที่ตั้งอยู่ออสจริงๆ อันนี้เป็นแต้มต่อของเรา ไม่ใช่ว่าเราทำงานอยู่บริษัทไทยตลาด 5-7 ปี ตอนเรามาอยู่นี่เราพูดชื่อบริษัทไปเค้าก็ไม่รู้จักนะครับ แต่ถ้าประสบการณ์ที่คุณมีมันแน่จริง ชื่อบริษัทมันก็แค่แต้มต่อนะครับ สุดท้ายเค้าก็สนใจที่ประสบการณ์ทำงานคุณอยู่ดี คนที่นี้จะรับคนโดยมองจากประสบการณ์ทำงานเป็นหลัก ๆ เลยนะครับ

จบอะไรมาเกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ เค้าไม่สนใจเท่าไหร่ เพราะต่อให้คุณจบที่นี่เลยแต่ไม่มีประสบการณ์ทำงาน คุณจะหางานได้ยากมากเช่นกัน นั่นคือสาเหตุว่าทำใมผมแนะนำว่าให้ทำงานที่เมืองไทยเก็บประสบการณ์ก่อนออกเดินทางมาที่นี่ หลังจากที่คุณทำงานจนถึงอายุสักประมาณ 27-28 คุณก็ควรเริ่มต้นสมัคร Work and Holiday Visa ได้แล้วนะครับ เพราะคนแย่งกันเยอะมาก และไม่ใช่ว่าคุณจะทันคนอื่นเค้าในครั้งแรกที่สมัคร สมัยก่อนตอนผมสมัคร จำได้ว่าต้องให้เพื่อนๆ ประมาณ 5-10 คนรุมกันช่วยสมัคร แต่เดี๋ยวนี้คนน่าจะเขียนบอทสมัครกันแล้ว อาจจะยิ่งยากกว่าเดิมไปอีก อันนี้ผมไม่มีข้อมูลความยากของการกรอกใบสมัครของวีซ่าตัวนี้ ณ ปัจจุบัน ลองไปศึกษาเพิ่มเติมดูนะครับ ค่าสมัครวีซ่าตัวนี้ปัจจุบันอยู่ที่ราคา AUD485 ครับ ซึ่งถือว่าถูกมากๆ ถ้าเทียบกับวีซ่าทำงานตัวอื่น ๆ
.

2) ด้านภาษาอังกฤษ #วิธีฝึกภาษา

วิธีการฝึกภาษาอังกฤษที่ได้ผลที่สุดสำหรับคนที่ไม่เก่งเหมือนคนอื่น สมัยก่อนได้ลองมาหมดทุกอย่าง ไปเรียนโรงเรียนกวดวิชาดัง ๆ แพง ๆ สองสามหมื่นต่อคอร์ส มันก็ได้นะครับพวกแกรมม่าพื้นฐานอะไรพวกนี้ แต่สำหรับผมไม่ค่อยได้เท่าไหร่เพราะอ่อนภาษามากๆ (คือถ้าคุณอ่อนภาษามาก ๆ คุณไปอยู่ในกลุ่มที่คนส่วนมากได้พื้นฐานกันอยู่แล้ว สุดท้ายคุณไปเรียนก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะมันคือการเรียนเป็นกลุ่ม ถ้าคนส่วนใหญ่ได้ เค้าก็ผ่านเลย) และยิ่ง conversation เนี้ยไม่กระดิกเลย

วิธีที่ผมฝึกและได้ผลที่สุดสำหรับตัวเองเลยก็คือ การใช้ภาษากันคนจริง ๆ มีการตอบโต้จริง ๆ กับการฝึกฟังอย่างหนัก แต่ก่อนใช้ Skype ในการคุยกับเพื่อน Online ที่เป็นคนจีน คุยถูกผิดสำเนียงมั่ว ๆ อะไรก็ว่าไป จัดไปก่อนเพราะมันฟรี อย่างน้อยทำให้เราได้ใช้ภาษาแน่ๆ ทุกวัน จนเกิดความเคยชิน แล้วก็ประกอบกับการ ดูหนังซีรีสครับ แต่คนส่วนมากดูหนังเพื่อฝึกภาษาผิดวิธีนะครับ ดูแล้วติด ดูแล้วเน้นสนุก วิธีผมคือหาหนังที่เราชอบมากๆ ดูหลายๆรอบไม่เบื่อ เปิดวน ep เดียว เปิดวนไป ไม่เปลี่ยน ep จนกว่าจะจำได้ว่าประโยคต่อไปที่ตัวละครจะพูดอะคืออะไร เปิด subtitle ในช่วงแรก ๆ และปิดเมื่อจำได้

จำได้ว่าแต่ก่อนฟังตลอดเวลา เปิดทิ้งเปิดขว้างวนอยู่ ep เดียวพอจำได้หมดก็ไปเปิด ep ถัดไปวนอีก และอันนี้ได้ผลมากๆ ฟังเข้าใจเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าในระยะเวลาอันสั้น หนังที่ผมดูวนมีอยู่สองเรื่องคือ pack to the rafters อันนี้หัดฟังสำเนียงออสซี่ และ Big Bank Theory อันนี้ดูเพราะชอบส่วนตัว แล้วก็แนะนำว่าให้ไปสอบ IELTS เพื่อเป็นเกฑณ์การวัดความรู้ที่เราเรียนมาบ้างสักปีละครั้ง ถ้าคุณเก่งๆ และตั้งใจจริง ผมเชื่อว่าคุณน่าจะได้อย่างน้อย score 6-7 แต่ตอนนั้นผมทำได้เติมที่แค่ overall 5.5 นะครับ หลังจากสอบไปสี่รอบ และนั่นคือข้อดีของวีซ่าตัวนี้เพราะต้องการ IELTS แค่ 4.5 ในแต่ละทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน นะครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามให้สอบได้ 7 กันนะครับ เพราะนั่นคือแต้มต่ออย่างมากสำหรับการมาทำงานที่นี่สำหรับวีซ่าตัวอื่น ซึ่งผมไม่ได้อธิบายในนี้นะครับ
.

สิ่งที่ต้องทำหลังจากมาอยู่ที่นี่แล้ว

มาถึงตอนนี้คุณควรจะต้องมีประสบการณ์ทำงานและใช้ภาษาได้ระดับนึงแล้ว ต่อมาน่าจะเป็นเรื่องค่าครองชีพ ตอนที่ผมมามีเงินติดตัวประมาณหกหมื่นบาทหลังหักค่าที่พัก สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ โดยเฉพาะถ้าคุณเงินน้อย คุณจำเป็นจะต้องไปหางานทำตามร้านอาหาร แนะนำให้ทำช่วง 4PM-10PM ทุกวันเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เรามีเงินมาเลี้ยงตัวเองตอนกำลังหางานประจำทำ และเราก็จะมีเวลาตอนกลางวันสำหรับไปสัมภาษณ์งานสาขาที่เรามีประสบการณ์ เว็บที่ผมสมัครและมีการเรียกไปสัมภาณ์ซะส่วนใหญ่จะได้มากจาก Seek.com.au ซึ่งแทบจะเป็นเว็บหางานหลักของคนที่นี่เลยก็ว่าได้

แนะนำให้เขียน CV และ Cover letter ดี ๆ เนียน ๆ ของพวกนี้เราสามารถเตรียมได้ก่อนมาอยู่แล้วนะครับ ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมจำได้ว่าหลังกลับมาจากทำงานร้านอาหาร ก็ส่งใบสมัครทุกวันๆละหลายๆที่ แล้วเค้าก็จะโทรมานัดเราไปสัมภาษณ์งาน ซึ่งเป็นตอนกลางวันอยู่แล้ว และให้เลือกสมัครงานที่เป็น Contract 3 หรือ 6 เดือนนะครับ ถ้าได้ 6 เดือนคือดีมาก อาจจะลองสมัคร Full-time ดูด้วยก็ได้แต่โอกาสที่เค้าจะเรียกสัมภาณ์น้อยครับ เพราะ Full-time ส่วนมากเค้าเน้นคนที่มี Working Visa หรือ เป็นคนที่นี่อยู่แล้ว ทีนี้สิ่งที่ยากที่สุดคือคุณต้องหานายจ้างที่ยินยอมที่จะให้ Working Visa คุณได้ (แนะนำให้หาบริษัทใหญ่นิดนึง) แต่สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าบริษัทส่วนใหญ่เค้ามีกำลังมากพอที่จะให้ Working Visa คุณอยู่แล้วถ้าคุณสามารถทำให้เค้าเห็นว่า คุณมีประโยชน์กับบริษัท และทำงานได้จริงในช่วงที่ทำงานเป็น Contract ให้กับเค้า ในส่วนนี้ผมมีท่าไม้ตายครับ

ส่วนมากที่บริษัทไม่ยอมให้ Working Visa ก็เพราะว่าเค้าไม่อยากจ่ายค่าสมัครและค่าจ้างทนายให้เรา ในส่วนนี้เราบอกไปเลยว่าเราจะจ่ายค่าทนายและค่าวีซ่าเองทั้งหมด และให้เค้าเซ็นต์รับรองให้อย่างเดียวพอ แบบนี้เค้าไม่มีอะไรเสียนะครับ ส่วนมากเค้าจะยอมให้ในที่สุด และยิ่งถ้าเราทำงานให้เค้าได้จริง ก็แทบไม่มีเหตุผลอะไรที่เค้าจะไม่รับรองนะครับ อีกอย่างขั้นตอนการยื่น Working Visa ควรอย่างมากที่จะจ้างทนายนะครับ ต่อให้ในใจเรารู้ก็ตามว่ายื่นเองได้ ถูกกว่ามาก เพราะค่าจ้างทนายอย่างต่ำๆ ก็ห้าพันถึงหมื่นเหรียญ ไม่รวมค่าสมัครวีซ่า แต่ที่ผมแนะนำว่าให้ยอมจ่ายจ้างทนายเพราะว่าวีซ่าที่คุณมีอยู่ Work and Holiday มันให้เราอยู่ได้แค่ปีเดียวนะครับ เราจะไปเสียเวลากับการเตรียมเอกสารผิดไม่ได้ ช้าเพียงนิดเดียวคุณอาจพลาดไปทั้งหมด ให้คนที่เป็นมือาชีพเค้าจัดการดีกว่าครับ หลังจากคุณได้ Working Visa แล้วที่เหลือคือขนมแล้วครับ แสดงความยินดีด้วย แสดงว่าคุณได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากที่สุดมาแล้ว ต่อจากนี้จนไปถึงเป็นคนสัญชาติออส แค่รอเวลา ไม่ได้มีอะไรยากแล้ว
.

ปล. ช่วงรอยผ่านต่อระหว่างที่บริษัทให้ Working Visa อันนี้เราต้องกลับไทยไปก่อนนะครับ แล้วกลับมาใหม่ตอนที่ได้ Working Visa แล้ว เพราะวีซ่าก่อนหน้าที่ Work and Holiday Visa เค้ามีข้อกำหนดห้ามต่อวีซ่าตัวอื่นต่อที่นี่ จำเป็นต้องกลับไทยไปก่อนแล้วกลับมาใหม่ ตกลงกับนายจ้างดีๆ ก็เหมือนเรากลับไป Holiday สักอาทิตย์แล้วกลับมาทำงานใหม่
.

สำหรับคนที่อายุเกิน 30 และมีประสบการณ์ทำงานนะครับ วีซ่าทำงานสองตัวข้างล่างคือวีซ่าที่คนใช้เยอะคือ Subclass 887 (IELTS 4.5) และ Subclass 189 (IELTS 6) เอาเข้าจริงคนส่วนมากจำเป็นที่จะต้องสอบ IELTS ให้ได้อย่างน้อย 7-8 ของแต่ละทักษะเพื่อให้ได้แต้มตามที่เค้ากำหนด วีซ่าสองตัวนี้ไม่จำเป็นต้องให้ใคร Sponsor เรานะครับ สมัครตรง ๆ ได้เองเลยจากที่ไทยครับ รบกวนศึกษาเพิ่มเติมวีซ่าทั้งสองตัวนี้นะครับ เพราะผมไม่มีประสบการณ์โดยตรง และรายละเอียดน่าจะเปลี่ยนไปเยอะแล้วปัจจุบัน
.

สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆทุกคนที่มีต้นทุนน้อย ต้องการมาทำงานและย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย หลังว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาจะช่วยน้อง ๆ ได้ไม่มากก็น้อย สู้ ๆครับ

.

เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

กาเหว่า
กาเหว่าhttp://konderntang.com
มีความชอบและหลงไหลในเทคโนโลยีทางด้านไอที การลงทุน และเงินคริปโต .. นอกจากนี้แล้วมักใช้เวลาว่างไปกับการท่องเที่ยว ถ่ายรูป ไปค่ายอาสา ..

Read more

Local News