Friday, April 19, 2024

8 ปีที่ญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง

Share

#ทีมญี่ปุ่น สวัสดีค่ะ วันนี้ปอขอมาแชร์ประสบการณ์อยู่ญี่ปุ่นกำลังจะเข้าปีที่ 8 แล้วค่ะ (เราเขียนยาวนิด คิดว่าอาจจะพอเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่มีความฝันอยากเรียนและทำงานต่างประเทศนะคะ)

>> จุดเริ่มต้นเป็นคนที่อยากมาเรียนต่างประเทศมากถึงมากที่สุด เราชอบตามล่าหาทุนตั้งแต่เด็ก เริ่มประมาณ ม.2 ค่ะ เราเริ่มหาทุนจากอินเตอร์เน็ต และแผ่นพับตามสถาบันภาษาต่าง ๆ สมัครได้บ้างไม่ได้บ้าง พอไปสอบแข่งก็มีคนที่เก่งเยอะมากจริงๆจนเราแอบท้อใจ

>> พอม.3 ไปดูหมอดูบอกว่าทำยังไงก็ได้ให้หนูได้ไปเรียนต่างประเทศ อีกวันพ่อพาไปเปลี่ยนชื่อที่เขต หลังจากนั้นดวงต่างประเทศน่าจะเริ่มเปิด สายมูต้องมา

>> ตอนม.ปลาย เราเรียนสายศิลป์ภาษาอังกฤษ-ญี่ปุ่น พอตอน ม.5 มีโครงการทุนมาแลกเปลี่ยนที่ฟุคุโอกะ 2 สัปดาห์ของกระทรวงศึกษา ฟรีหมดทุกอย่างตั้งแต่ตั๋วเครื่องบินยันที่พัก เพื่อนในห้องเราสละให้เรามาแทน (ยังคิดขอบคุณเพื่อนคนนั้นถึงทุกวันนี้) ทำให้เราได้มาอยู่กับ Host family ที่คุณพ่อเป็นยากูซ่า!!! อารมณ์พอบอกว่าอยากขี่จักรยานไปโรงเรียน ตอนเช้าก็มีจักรยานมาวางหน้าบ้าน อยากทำอะไร ครอบครัวก็ให้ทุกอย่างจนแปลกใจ เราเลยมาเอะใจว่าทำไมคุณพ่อไม่ออกจากบ้านเลย อยู่บ้านทั้งวันทั้งคืน เลยมาสังเกตตอนทานข้าว

ปรากฎว่านิ้วเค้าว่าถูกตัด! ตอนนั้นจำได้ว่ากำลังกลืนซูชิ พอมองนิ้วปุ๊บ ซูชิติดคอไปเลยจ่ะ 555 อาการที่ยังตั้งรับไม่ได้ คือขนลุกไปถึงหัว กลัวมาก แต่ด้วยความที่โฮสแม่ และเพื่อนเรา พี่สาวใจดีมาก ๆ เราเลยช่างมัน ตอนนี้ก็ยังไปหาครอบครัวอยู่เป็นประจำ ตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่เปิดประเทศเท่าตอนนี้ คนไปเที่ยวยังต้องขอวีซ่า สิ่งที่แปลกใจคือถนนเค้าสะอาดมาก ที่บ้านเลี้ยงน้องหมา เค้าก็เอาถุงไปเก็บอุนจิ ข้ามถนนตอนเกือบเที่ยงคืนก็รอสัญญาณไฟ เราตกใจมาก มันเหมือนเกิดมาไม่เคยเห็นความมีระเบียบวินัยแบบนี้มาก่อน

>> พอตอนจบม.ปลาย เรามีความฝันอยากเป็น ’’นายกหญิงคนแรกของไทย’’ เราตั้งใจเรียนติวและสอบตรงเข้าคณะรัฐศาสตร์ และตั้งใจจะทิ้งภาษาญี่ปุ่น เพราะมันยากมาก มากแบบ ก ล้านตัว (ถ้าใครเรียนลึก ๆ คงจะเข้าใจเรา TT) แต่ไป ๆ มา ๆอาจเป็นเพราะโชคชะตาและแม่เราชอบให้ลูกได้ภาษาที่สาม เราเลยลองสอบทุนของคณะบริหารธุรกิจ(ญี่ปุ่น) สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (TNI) แล้วติด เลยเรียนและปักธงว่าเราจะต้องได้ทุนไปเรียนญี่ปุ่นให้ได้ ระหว่างที่เรียนมหาลัยเราสอนภาษาญี่ปุ่นไปด้วย เราไม่ได้เอาค่าขนมจากที่บ้าน เดือนนึงเราหาเงินได้ 30,000-40,000 บาทต่อเดือนเลย อยากบอกว่าภาษาที่สามสร้างเม็ดเงินได้จริงๆนะทุกคน

>> เราลองสอบทุนในมหาลัยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 4 ได้ทุน JASSO มาแลกเปลี่ยนเรียนด้านภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบเจาะลึก 1 ปีที่ Osaka University ค่าเรียนฟรี ค่ากินอยู่ได้เดือนละ 80,000 เยน (ประมาณ 24,000 บาทไทย) แล้วเราก็ทำงานเพิ่มที่ร้านอาหารไทยด้วย อยากบอกว่าตอนมาแลกเปลี่ยนเหมือนความฝันเป็นจริง เราได้เรียนมหาวิทยาลัยที่ดี ครูดีมาก ได้เพื่อนหลากหลาย ได้อยู่ในประเทศที่หลายคนฝันว่าอยากมา แต่เอาเข้าจริงๆ ตอนนั้นเรากลับไม่ชอบญี่ปุ่นเลย ไม่อยากกลับมาอยู่อีกแล้ว อาจเป็นเพราะว่าเรายังไม่ชินกับบ้านเมืองที่ทุกอย่างเป๊ะไปหมด ผิดกับไทยแลนด์แดนสมายด์ที่อยู่แบบชิว ๆ มาตั้งแต่เด็ก

>> พอกลับไปไทยก็เรียนอีกครึ่งเทอมจนจบ และเราทำงานประจำควบเรียนไปด้วย ตอนนั้นเราได้ทำงานล่ามญี่ปุ่น และงานด้าน Marketing ญี่ปุ่นที่ใฝ่ฝัน เงินเดือนตอน 23 ปี ได้ที่ 45,000 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับเด็กจบใหม่ (จริงๆยังไม่จบดี) แล้วเราก็สอนญี่ปุ่นควบด้วย ตกเดือนนึงก็ 60,000 กว่าบาท ต้องขอบคุณภาษาญี่ปุ่นจริงๆที่ทำให้เราได้เงินเดือนเยอะตั้งแต่ตอนนั้น

>> แต่ทว่า เรารู้สึกตัวว่าเราไม่เหมาะกับ ’’กรุงเทพ…ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว’’ เราตื่นนอนขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน วนลูบแบบนี้ทุกวัน ที่ทำงานเพื่อนร่วมงานดีมาก นายดีมาก แต่เราเบื่อ เบื่อการอยู่ในสังคมไทย เราอยากมีประสบการณ์ทำงานที่ญี่ปุ่น อยากลองเอาตัวเองไปอยู่ในสังคมการทำงานที่จริงจัง อยากรู้ว่าคนญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นจริง ๆ เค้าทำงานยังไง แล้วเราก็เริ่มหางานที่จะเอาตัวเองไปทำงานที่ญี่ปุ่น

>> น่าจะเป็นเพราะโชคชะตา ที่มหาลัยจัดงาน Job fair เราเลยปริ้นส์ Resume แล้วฝากให้รุ่นน้องโปรยไปทุกบริษัทที่ได้ไปทำที่ญี่ปุ่น และแล้วเราก็ได้รับการติดต่อจากประธานบริษัท (บริษัททำเกี่ยวกับ Recruitment วิศวกรต่างชาติ) ว่าเค้าสนใจ อยากเรียกเราสัมภาษณ์ จากนั้นก็ผ่านกระบวนการสัมภาษณ์และบินมาทำงานที่ญี่ปุ่น

>> การทำงานที่ญี่ปุ่นถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ได้เปิดโลกกว้าง เราได้เรียนรู้การทำงานที่จริงจังและความรับผิดชอบที่สูง เราเข้ามาทำตำแหน่งล่ามและSales co เริ่มแรกมีการ Homesick ร้องไห้คิดถึงที่บ้าน คือทำงานที่ญี่ปุ่น งานคืองานจริงๆ ระหว่างทำงานมีคุยเล่นบ้าง แต่บรรยากาศต่างกับที่ไทยแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

>> พอเราทำงานไปเริ่มรู้สึกว่ามีอีกความฝันนึงที่ยังไม่ได้ทำคือการสอบ ‘’ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น’’ ถ้าใครเรียนญี่ปุ่นจะรู้ว่าทุนรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นทุนที่แทบจะดีที่สุดในโลก เป็นทุนให้เปล่า ฟรีทุกอย่าง ตั๋วเครื่องบิน+ค่าเรียน+ค่ากินอยู่เดือนละ 144,000 (ประมาณ 43,000 บาท) เรทที่ได้แล้วแต่พื้นที่ที่มหาลัยตั้งอยู่ เราได้สอบทุนรัฐบาลแบบ Recommendation จากมหาลัยที่ไทย (ไทย-ญี่ปุ่น) โดยการยื่นผลการเรียน ประสบการณ์การทำงาน จดหมายแนะนำจากคณบดี และสัมภาษณ์ พอผ่านได้รับทุนเราเลยบอกออกจากบริษัทและโบยบินไปตามความฝัน

>> เราเรียนต่อ MBA ที่ Shiga University ด้วยการเรียนการสอนแบบภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับเราคือข้อสอบเขียนตอนเข้ามหาลัย เราได้ทุนมาก็จริง แต่ต้องสอบเข้ามหาลัยให้ได้ภายใน 1 ปี ซึ่งเป็นข้อเขียน+สอบสัมภาษณ์เกี่ยวกับด้านบริหารธุรกิจ จำได้ว่าอ่านหนังสือหลายเล่มมาก จำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ หินสุดๆ การเรียนที่นี่มีวิชาพื้นฐานบังคับและวิชาเลือกที่เรียนได้อย่างอำเภอใจ เลือกเรียนในวิชาที่สนใจจริงๆ ต่างกับที่ไทยที่บังคับให้เรียนเยอะมาก ตรงนี้เป็นจุดที่เรารู้สึกว่ามันดี ตอนจบเราก็ทำวิทยานิพนธ์เป็นภาษาญี่ปุ่น ระหว่างเรียนก็ทำล่าม+ไกด์ควบไปด้วย

>> การทำงานอีกครั้งในญี่ปุ่นที่บริษัทเกี่ยวกับเครื่องบิน เราทำงานเป็นผู้ประสานงาน Recruit และคัดเลือกวิศวกรการบินจากต่างประเทศ เลยใช้ทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ การทำงานบริษัทใหญ่ทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผู้คนที่ทำงานเก่งๆมารวมตัว ทุกคนต้องได้ภาษาอังกฤษ ตอนเขียนอีเมล์จะเขียนข้างบนญี่ปุ่นข้างล่างอังกฤษ เราเป็นคนอายุน้อยที่สุดในแผนก เลยกดดัน และแอบคิดเสมอว่าอยากเก่งเหมือนคนอื่นบ้าง ร้องไห้บ้าง แฮปปี้บ้างสลับกันไป

>> พอโควิดการบินทุกอย่างหยุดชะงัก เราเลยต้องเปลี่ยนบริษัททำงาน เราทำงานเป็นเซลล์ในบริษัทเกี่ยวกับชิ้นส่วนยานยนต์ กำลังเรียนรู้และอยากเติบโตในสายงานนี้ เราคิดว่าการทำงานที่ญี่ปุ่นต้องใช้ความอดทน เพราะ ด้วยการทำงานที่เป็นระบบ บวกกับกำแพงด้านวัฒนธรรมค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับสังคมการทำงานที่เจอ คนที่อยากจะย้ายมาอยู่ญี่ปุ่นนานๆต้องปรับตัวให้เร็ว และพยายามทำความเข้าใจกับระบบความคิดของเค้า

>> สรุปว่าก่อนหน้านี้เราเคยคิดว่าจะกลับไทยดีรึเปล่า คิดไม่ตกว่าถ้ากลับไทยจะอยู่ได้มั้ย เราชินกับสังคมและความเป็นอยู่ในญี่ปุ่นไปแล้ว ถ้าจะให้กลับไปอยู่ใน ‘’กรุงเทพ…ชีวิตดีๆที่ลงตัว’’ เราอาจจะอึดอัดกับสิ่งที่ทุกคนก็รู้กัน

>> ใครที่อยากย้ายมาอยู่ต่างประเทศ แนะนำให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษและเป็นไปได้ก็เรียนภาษาที่สามเพิ่มเติมเผื่อไว้จะดีกว่า ถ้าอยากจะสอบทุนตั้งใจเรียน ทำเกรดให้ดีเพื่อจะได้ยื่นทุนได้ง่ายขึ้น Run the World!!! ไปเลยค่าาาา

>> ขอทิ้งท้าย เราชอบท่องเที่ยวมากเลยทำ Facebook page และ YouTube ชื่อว่า ‘’NipponPor’’ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ จะพยายามมาอัพเดทเรื่อย ๆ ค่า

Facebook Page : https://b-m.facebook.com/nipponpor/

YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/UCDIJtPf7ESymVQFedD6BbMQ

กาเหว่า
กาเหว่าhttp://konderntang.com
มีความชอบและหลงไหลในเทคโนโลยีทางด้านไอที การลงทุน และเงินคริปโต .. นอกจากนี้แล้วมักใช้เวลาว่างไปกับการท่องเที่ยว ถ่ายรูป ไปค่ายอาสา ..

Read more

Local News